พระเยซูทรงใช้เวลาเพียง 3 ปีครึ่งทำการประกาศข่าวประเสริฐและทำให้แผนการไถ่ของพระบิดาสำเร็จ นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงตระหนักถึงความเร่งรีบในการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้จุดหมาย แต่ทรงใช้ทุกสถานการณ์เป็นโอกาสในการนำคนเข้าสู่ความรอด ทั้งการประกาศโดยตรงผ่านการเทศนาและการสอน การสนทนาส่วนตัว การประกาศโดยอ้อมผ่านคำอุปมา การรักษาโรค และการทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ เพื่อสำแดงความเป็นพระเจ้าผู้มีสิทธิอำนาจเหนืออาณาจักรฝ่ายโลก และนำคนให้เข้าถึงแผ่นดินสวรรค์ด้วยการเชื่อและวางใจในพระองค์
การเทศนาและการสอน เป็นวิธีการหลักที่พระเยซูใช้ในการประกาศแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์เปิดเผยสำแดงสัจธรรมความล้ำลึกแห่งพระวจนะของพระเจ้าผ่านการเทศนาและการสอนมวลชนที่มาติดตามพระองค์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและแผ่นดินของพระองค์ เพื่อชี้ให้เห็นว่าคำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพื่อให้กลับใจจากบาปและรับประสบการณ์บังเกิดใหม่ ผลจากการทำพระราชกิจนี้ทำให้คนจำนวนมากเชื่อไว้วางใจในพระองค์
การสนทนาส่วนตัวกับผู้คน หรือที่คริสเตียนมักเรียกว่า การเป็นพยานส่วนบุคคล เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่พระองค์ใช้เพื่อนำคนมาถึงความจริงแห่งข่าวประเสริฐ เช่น การสนทนากับนิโคเดมัส กับหญิงสะมาเรีย และกับศักเคียส เป็นต้น
พระเยซูทรงสำแดงพระปัญญาจากพระเจ้าผ่านการใช้ถ้อยคำประกอบด้วยความรู้และสติปัญญาในการเป็นพยานส่วนบุคคลเสมอ เช่น ขณะประกาศกับหญิงสะมาเรียทรงกล่าวสำแดงความรู้อันเกินธรรมชาติว่านางมีสามีหลายคนและคนที่นางอยู่ด้วยนั้นก็ไม่ใช่สามีของนาง เหตุการณ์นี้ทำให้นางตระหนักว่าพระองค์มิใช่บุคคลธรรมดา และเมื่อสนทนาถึงเรื่องสถานที่ใช้นมัสการพระเจ้าของชาวสะมาเรียที่ชาวยิวเกลียดชังนั้น พระองค์ทรงนำการสนทนาเข้าสู่เรื่องฝ่ายวิญญาณ จนนำไปสู่การยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ นางจึงรีบไปบอกข่าวดีให้แก่ชาวเมืองและชวนพวกเขาให้มาหาพระองค์ จนหลายคนได้เชื่อวางใจและกล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอด (ยน.4:1-42)
หลายครั้งพระเยซูคริสต์ไม่สอนตรงๆ แต่ทรงสอนโดยใช้คำอุปมา ตัวอย่างเช่น เรื่องแผ่นดินสวรรค์ เรื่องบุตรน้อยหลงหาย เรื่องชาวสะมาเรียใจดี เป็นต้น ในพระธรรมลูกาบทที่ 8 ข้อ 10 ทรงอธิบายเหตุผลที่ใช้วิธีเปรียบเปรยเช่นนี้ให้สาวกฟังว่า” …ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ”
พระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บ่อยครั้ง เพื่อเปิดใจคนให้เกิดความเชื่อและมั่นใจว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ก่อนที่จะทรงสั่งสอนเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เช่น การเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นในงานสมรสที่หมู่บ้านคานา (ยน.2:6-11) แม้พระองค์จะทรงกระทำการอัศจรรย์มากมาย แต่พระองค์ทรงให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงจิตใจภายในของผู้คนทั้งหลายมากยิ่งกว่า การนำคนเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงภายในจิตวิญญาณก่อน นั่นคือ การกลับใจบังเกิดใหม่ อันเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้ ดังที่พระองค์ตรัสสนทนากับนิโคเดมัสที่ได้มาถามพระองค์ (ยน.3:1-5)
การขับผีเป็นวิธีหนึ่งที่พระองค์ใช้ควบคู่การประกาศเพื่อปลดปล่อยคนจากการถูกจำจองหรือถูกผูกมัดจากอำนาจมาร (ลก.13:16) ให้ได้รับอิสรภาพโดยทางความจริงแห่งข่าวประเสริฐ (ยน.8:32) เพื่อนำเขามาสู่แผ่นดินของพระเจ้า เช่น ขณะที่พระองค์สั่งสอนที่ธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม ผีโสโครกที่สิงในชายคนหนึ่งทำให้เขาส่งเสียงร้องดังรบกวน พระเยซูจึงทรงขับไล่ผีนั้นออก เป็นเหตุให้กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามหมู่บ้านแคว้นกาลิลี (มก.1:27-28)
การรักษาโรค เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่พระเยซูทรงใช้เพื่อสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเหนือความจำกัดของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อผู้ที่ได้รับการรักษาตลอดจนผู้ที่เป็นพยานในเหตุการณ์อัศจรรย์เหนือธรรมชาตินี้เปิดใจยอมรับและเชื่อในข่าวประเสริฐ พระองค์ทรงรักษาคนให้หายเป็นอันมาก (มธ.4:23-25) โดยกระทำควบคู่ไปกับการประกาศข่าวประเสริฐมากถึง 17 ครั้ง และมีผลต่อการประกาศข่าวประเสริฐมากถึง 16 ครั้งด้วยกัน 20 (มธ.9:2-8; 9:32-33; 12:9-13; มก.1:23-28; 5:1-3,18-20; 7:32-37; 9:14-27; ลก.5:12-14; 13:10-13,16; 17:11-19; ยน.4:28-30; 9:1-7; กจ.3:1-8; 8:5-8; 9:32-35; 14:8-10)
อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ต้องการให้ฝูงชนติดตามพระองค์ เพียงเพราะเห็นการรักษาโรคและการทำอัศจรรย์ของพระองค์โดยที่เขาปราศจากความเชื่อ ดังนั้น บางครั้งพระองค์จึงไม่รักษาจนกว่าจะมั่นพระทัยว่าเขามีความเชื่อจริงๆ
บางครั้ง พระองค์ไม่ได้วางมือรักษาโรคหรือตรัสสั่งให้หายโรคโดยตรง แต่พระองค์ตรัสว่าให้เป็นไปตามที่เขาเชื่อหรือตามความปรารถนาของเขา เช่น หญิงชาวคานาอันที่มาร้องขอให้พระองค์รักษาบุตรสาวของนาง พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และบุตรของนางก็หายเป็นปกติ (มธ.15:21-28; มก.7:27-30) เป็นต้น
การประกาศพร้อมกับการรักษาโรคของพระองค์ เป็นเหตุทำให้คนเป็นอันมากเกิดความเชื่อและสรรเสริญพระเจ้า(มธ.15:30-31) แต่ พระองค์ไม่ได้ใช้การรักษาโรคแทนการเทศนาข่าวประเสริฐแห่งความรอด เพราะหลายคนได้รับการรักษาโรคแต่ไม่ได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็มี ดังนั้น พระองค์จึงสอนพระวจนะควบคู่ไปกับการสำแดงฤทธิ์อำนาจโดยการรักษาโรคและการปลดปล่อยเพื่อนำคนมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าด้วย
การจัดงานประกาศฟื้นฟูเพื่อรักษาโรคและปลดปล่อยคนจากสภาพปัญหาเป็นวิธีการหนึ่งที่คริสเตียนที่เชื่อเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามักกระทำเพื่อเชิญชวนให้คนเข้าร่วมงานดังกล่าว สิ่งที่คณะผู้จัดงานหรือผู้ที่เชิญชวนคนไปร่วมงานไม่ควรละเลยคือ การอธิบายเรื่องข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ที่ถูกเชิญชวนมา เพื่อทำให้เขาตระหนักถึงรากของปัญหาคือความบาป และนำมาสู่การรับการยกโทษบาปจากพระเยซู เพื่อจะยอมรับพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและนำเขาให้ติดตามพระเยซูอย่างแท้จริง มิฉะนั้น เขาจะเข้าร่วมงานโดยมองว่าเป็นเพียงงานรักษาโรคทั่วไปเท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าใจถึงข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง
คริสเตียนควรดำเนินตามแบบอย่างการประกาศสไตล์พระเยซู โดยการมองหาช่องทางในการนำข่าวประเสริฐไปถึงกลุ่มคนต่างๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ด้วยการสร้างโอกาสในการประกาศให้เกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อจะสามารถประกาศกับคนได้ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องรอให้พร้อมก่อน เพราะถ้าเรามัวรอให้พร้อมก่อน เราอาจต้องเสียใจหากคนที่เราตั้งใจจะประกาศนั้นได้จากโลกนี้ไปก่อนแล้วโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ยินพระกิตติคุณแต่อย่างใด
ยางซอนคโย หนุ่มพิการชาวเกาหลีที่เป็นอัมพาตทั้งตัวและสมองพิการ แม้สภาพร่างกายของเขาจำกัดแทบจะใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง อวัยวะที่เคลื่อนไหวได้ คือ คอและคางเท่านั้น เขาจึงใช้เพื่อพิมพ์ข้อความบนมือถือ และใช้บังคับวีลแชร์ให้ไปในทิศทางที่ต้องการ แต่เขาปรารถนาจะประกาศข่าวดีเรื่องของพระเจ้าอย่างแรงกล้า จึงขอให้คนอุ้มไปนั่งรถเข็นไฟฟ้า (วีลแชร์) ที่ติดตั้งมือถือและทอล์คกิ้งดิคชันนารี (Talking Dictionary) เพื่อช่วยนำทางและช่วยในการสื่อสารกับคนอื่น วีลแชร์ของยางซอนคโยล้มคว่ำบ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เลิกรา ยังคงพยายามที่จะเดินทางไปในทุกซอกทุกซอยเท่าที่เป็นได้แม้แต่ในท้องถนนที่อันตรายก็ตาม เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าจะต้องสื่อสารเรื่องราวของพระเจ้าไปยังคนต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่พระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเขา เขาเชิญชวนคนที่ผ่านไปมาให้หยิบใบปลิวคำพยานที่อยู่ใส่ในซองติดรถเข็นของเขาไปอ่าน และจะขอบคุณทุกคนที่หยิบใบปลิวนั้นไป แม้คนฟังสิ่งที่เขาพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม
ยางซอนคโยพูดว่า “หลายคนในโลกมองดูผมเฉยๆ แต่ผมมองดูคนที่ไม่ได้รับความรอดเฉยๆไม่ได้…การประกาศเป็นความสุขเดียวของผม และเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่… การประกาศเป็นทุกสิ่งในชีวิตของผม”
หากคริสเตียนไทยทุกคนตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการประกาศข่าวประเสริฐดังเช่นที่ยางซอนคโยมองเห็น ก็จะมีคนได้รับความรอดอย่างมาก ประเทศไทยคงจะมีจำนวนคริสเตียนเพิ่มขึ้นในแต่ละปีอย่างรวดเร็ว และเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงอวยพระพรมาเหนือผืนแผ่นดินไทยให้เต็มด้วยความชอบธรรมและสันติสุขของพระ สถิติอาชญากรรมจะลดลง ปัญหาทางสังคมจะลดน้อยลง ประชาชนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หากเราอยากเห็นแผ่นดินไทยเป็นเช่นนี้ ขอให้ร่วมกันประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้มากที่สุดเพื่อพระพรของพระองค์จะมาสู่แผ่นดินไทยที่เรารัก
แหล่งที่มา: รังสรรค์ สุกันทา และ สุปรียา สุกันทา.(2010) รับใช้สไตล์พระเยซู. กรุงเทพฯ : ครีเอชั่นบุ๊คแอนด์มีเดียพับลิชชิ่ง